เมนู

ของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บุคคล 7 จำพวกนี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของ
ต้อนรับ เป็นควรของทำบุญ เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญ
ของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
จบ อนิจจสูตรที่ 6

อรรถกถาอนิจจสูตรที่ 6


อนิจจสูตรที่ 6

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บุคคลชื่อว่า อนิจานุปัสสี เพราะตามเห็นขยายไปด้วย
ปัญญาอย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง. บุคคลชื่อว่า อนิจจสัญญี
เพราะมีความสำคัญอย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง. บุคคลชื่อว่า
อนิจจปฏิสังเวที เพราะรู้ชัดด้วยญาณ (ปัญญา) อย่างนี้ว่า สังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยง. บทว่า สตตํ ได้แก่ ทุกกาล. บทว่า สมิตํ ความว่า
จิตดวงหลัง ถึงแล้วคือเข้าถึงแล้ว สืบต่อกับจิตดวงก่อนอย่างใด
จิตดวงก่อนก็สืบต่อกับจิตดวงหลังอย่างนั้น. บทว่า อพฺโพกิณฺณํ
ความว่า ต่อกันไม่ขาดสาย คือไม่เจือปนด้วยจิตดวงอื่น. บทว่า
เจตสา อธิมุจฺจมาโน ได้แก่ น้อมในไป. บทว่า ปญฺญาย ปริโยคาหมาโน
ได้แก่ ตามเข้าไปด้วยวิปัสสนาญาณ.

บทว่า อปุพฺพํ อจริมํ ได้แก่ ไม่ก่อนไม่หลัง คือในขณะเดียวกัน
นั้นเอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมสีสีบุคคล ไว้ในพระสูตรนี้.
สมสีสีบุคคลนั้น มี 4 จำพวก คือ โรคสมสีสี เวทนาสมสีสี
อิริยาปถสมสีสี
และชีวิตสมสีสี. บรรดาบุคคล 4 จำพวกนั้น
บุคคลใดถูกโรคอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว โรคสงบระงับ และ
อาสวะสิ้นไป โดยคราวเดียวกันนั่นเอง บุคคลนี้ ชื่อว่าโรคสมสีสี.
ส่วนบุคคลใด เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เวทนาสงบระงับไป
และอาสวะสิ้นไป ในคราวเดียวกันนั่นเองบุคคลนี้ ชื่อเวทนาสมสีสี.
ส่วนบุคคลใด พรั่งพร้อมด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการยืน
เป็นต้น เห็นแจ้งอยู่ อริยาบถสิ้นสุด และอาสวะสิ้นไป โดยขณะ
เดียวกันนั่นเอง บุคคลนี้ ชื่อว่า อิริยาปถสมสีสี. ส่วนบุคคลใด
พยายามฆ่าตัวตายหรือทำสมณธรรมอยู่ ชีวิตสิ้นไป และอาสวะก็
สิ้นไป โดยขณะเดียวนี้นั่นเอง บุคคลนี้ ชื่อว่า ชีวิตสมสีสี. ชีวิต-
สมสีสีบุคคลนี้ ท่านประสงค์เอาในพระสูตรนี้. ในชีวิตสมสีสีบุคคล
นั้น มีอธิบายว่า ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ย่อมมีได้ด้วยมรรคจิต
ความสิ้นสุดแห่งชีวิตย่อมมีได้ด้วยจุติจิตก็จริง ถึงกระนั้น ชื่อว่า
ความเกิดพร้อมแห่งธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ และการสิ้นสุดแห่งชีวิต
ทั้ง 2 อย่าง ย่อมมีในขณะเดียวกันไม่ได้. ก็เพราะเหตุที่พออาสวะ
ของชีวิตสมสีสีบุคคลนั้นสิ้นไป ความสิ้นสุดแห่งชีวิตก็มาถึง ใน
ลำดับวาระแห่งปัจจเวกขณะทีเดียว ไม่ปรากฏช่องว่าง ฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวอย่างนี้.

บทว่า อนฺตราปรินิพฺพายี นี้ เป็นชื่อของพระอนาคามีบุคคล
ผู้เกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง บรรดาสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 หรือเลยไปหน่อย
หนึ่ง หรือยังตั้งอยู่ตรงกลาง. ในขณะที่บังเกิดแล้วบรรลุพระอรหัต.
บทว่า อุปหจฺจปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคล. ล่วงเลย
กลางอายุขัยแล้ว จึงบรรลุพระอรหัต ในสุทธาวาสภูมินั่นเอง.
บทว่า อสงฺขารปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคล ผู้ทำกิเลส
ทั้งหลายให้สิ้นไป โดยไม่ต้องกระตุ้นเตือน ไม่ต้องกระทำความ
พากเพียร ของบุคคลเหล่านั้นทั้งนั้น. บทว่า อสงฺขารปรินิพฺพายี
ได้แก่ พระอนาคามีบุคคล ผู้ทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป โดยต้อง
กระตุ้นเตือน ต้องมีความพยายาม. บทว่า อุทฺธํโสโตอกนิฏฐคามี
ได้แก่พระอนาคามีบุคคล ผู้บังเกิดในสุทธาวาสภูมิชั้นต่ำ 4 ชั้น
ชั้นใดชั้นหนึ่ง จุติจากภูมินั้นแล้ว เกิดในอกนิฏฐภูมิ โดยลำดับ
แล้วบรรลุพระอรหัต.
จบ อรรถกถาอนิจจสุตรที่ 6

7. ทุกขสูตร


[7] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล 7 จำพวกนี้ เป็นผู้ควร
ของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า 7 จำพวก
เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นความทุกข์ มีความ
สำคัญว่าเป็นทุกข์ ทั้งรู้ว่าเป็นทุกข์ ในสังขารทั้งปวง ฯลฯ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล 7 จำพวกนี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควร
ขอต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นควรกระทำอัญชลี เป็น
นาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
จบ ทุกขสูตรที่ 7

อรรถกถาทุกขสูตรที่ 7


ทุกขสูตรที่ 7

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุกฺขานุปสฺสี ได้แก่ บุคคลผู้ตามเห็นอาการคือ ความ
ไม่บีบคั้น โดยความเป็นทุกข์.
จบ อรรถกถาทุกขสูตรที่ 7